วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข้อควรจำระหว่างขับรถ



คู่มือ 30 ข้อควรจำ






1. เติมน้ำมันล้นถังไม่เป็นผลดี 
     ในสภาพอากาศร้อนจัดอย่าเติมน้ำมันจนล้นถัง เพราะความร้อนจะทำให้เพิ่มความดัน มีผลทำให้น้ำมันขยายตัวลื่นไหลออกจากถังเกิดอันตราย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ 
2. ลากเกียร์ทำให้คลัตช์เสียเร็ว 
     การใช้เกียร์ควรทำให้เหมาะสมและถูกจังหวะ อย่าลากเกียร์บ่อย จะทำให้คลัทช์เสียเร็วและยางหมดอายุเร็วขึ้น 
3. อย่าขับรถจนน้ำมันหมดถัง 
    การขับรถจนน้ำหมดถัง จะทำให้เครื่องกรองน้ำมันมีโอกาสเสียได้มาก เนื่องจากตะกอนบางอย่างที่สะสมอยู่ในถังจะไปค้างที่เครื่องกรอง 
4. อย่าใช้อิฐแทนแม่แรงรถ 
    อิฐสร้างบ้านก้อนที่แข็งที่สุดยังสามารถแตกได้ อย่าใช้รองหรือหนุนรถแทนแม่แรงต่างหาก เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 
5. ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดกระจก 
    แอลกอฮอล์มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อโรคและยังใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่เป็นแก้วหรือกระจกได้ กระจกรถของคุณที่มีคราบสกปรก จะถูกขจัดได้อย่างง่ายดายด้วยแอลกอฮอล์ 
6. สำรวจกระจกอย่าให้มีรอยร้าว 
    รอยร้าวที่กระจกเพียงเล็กน้อย จะทำให้ขยายวงกว้างไปสู่การแตกใหญ่ได้ต้องหมั่นสำรวจอยู่เสมอ การเปิดแอร์เย็นจัดในขณะอากาศภายนอกร้อนจะทำให้กระจกหดตัวอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุให้เกิดการแตกของกระจกได้ 
7. เครื่องเป่าผมก็มีประโยชน์ 
    รถที่สตาร์ทไม่ติดอันเนื่องมาจากปัญหาความชื้นลองใช้เครื่องเป่าผมเป่าความร้อนบริเวณเครื่องยนต์ที่คิดว่ามีความชื้นจนกว่าจะแห้ง แล้วลองสตาร์ทใหม่ดูอีกครั้ง 
8. การควบคุมอารมณ์ 
    การขับรถจำเป็นที่จะต้องควบคุมอารมณ์ด้วยความอดทนยิ่งในสภาพรถติดแสนสาหัส แบบบ้านเรายิ่งต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่สวมวิญญาณร้ายขณะขับรถ ไม่ใช้วาจาหยาบคาย และอย่าพยายามสั่งสอนบทเรียนต่อผู้อื่น 
9. โกรธและหงุดหงิดอย่าขับรถเด็ดขาด 
    อารมณ์โกรธและหงุดหงิด มีผลเสียอย่างยิ่งต่อการใช้รถใช้ถนน ความกดดันทางอารมณ์จะทำให้มีผลต่อเนื่องไปยังผู้ขับขี่รถคนอื่น และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงได้ 
10. อย่าตอบโต้กับผู้ขับขี่รายอื่น 
    หากคุณอารมณ์เสียเนื่องจากผู้ขับขี่รถคันอื่น ต้องพยายามเก็บกดอารมณ์ไม่ตอบโต้ การตอบโต้จะทำให้เกิดผลร้ายต่อเนื่อง อย่างน้อยจะทำให้เราขาดสมาธิขาดการสังเกต สุดท้ายก็ลงเอยด้วยอุบัติเหตุ เป็นไปได้น่าจะจอดรถสงบสติอารมณ์สักครู่ 
11. หลีกเลี่ยงการเดินทางในสภาพอากาศเลวร้าย 
    เรามั่นใจแค่ไหนในการขับขี่รถในสภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ฝนตกหนัก หมอกลงจัด ทางที่ดีควรจะงดการขับรถ หันไปใช้บริการของรถสาธารณะจะดีกว่า ทั้งนี้ต้องติดตามการพยากรณ์ของอุตุนิยมวิทยา 
12. การปรับพวงมาลัย 
    รถรุ่นใหม่สามารถปรับแกนพวงมาลัยให้เข้ากับสภาวะร่างกายของผู้ขับขี่ได้ อย่าปรับให้พวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งที่มองแผงหน้าปัดยาก ล็อคแกนพวงมาลัยให้มั่นคงหลังจากปรับตำแหน่งจนได้ที่แล้ว ห้ามปรับพวงมาลัยในขณะรถเคลื่อนที่เด็ดขาด 
13. เกียร์สูงสุด 
    เป็นเกียร์ที่ใช้กับอัตราเร็วสูง แต่ให้กำลังน้อยที่สุดเราจะใช้เกียร์สูงสุดกับอัตราเร็วของรถยนต์ที่แตกต่างกันได้มา คุณสามารถใช้แล่นด้วยความเร็วคงที่บนถนนทางตรง 
14. อย่าให้ไฟดวงหนึ่งดวงใดขาด 
    การใช้สัญญาณไฟจะทำให้รถคันอื่นที่ตามหลัง หรือสวนทางเข้าใจในเจตนาของเรา แต่หากไฟสัญญาณดวงหนึ่งดวงใดขาดไป จะทำให้เป็นอันตรายแก่การใช้รถใช้ถนน ควรตรวจสอบและหาฟิวส์ หรือไฟอะไหล่ไว้ในรถบ้าง 
15. ไฟเตือนภัยมีความสำคัญ 
    อย่าขับรถยนต์ออกไปเด็ดขาด กรณีที่มีการเตือนของไฟบนแผงหน้าปัดขึ้น เช่น ไฟเตือนความดันน้ำมันหล่อลื่น เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ 
16. กระพริบไฟหน้าแทนแตร 
    การใช้ไฟสูง-ต่ำของไฟหน้า ทำให้เกิดการกระพริบสามารถเตือนผู้ขับขี่รายอื่นด้วย ที่คาดว่าจะไม่ได้ยินเสีสยแตรจากรถของเรา 
17. อย่าปล่อยเกียร์ว่างให้รถเคลื่อนลงทางลาดเองไม่ถูกต้อง 
    การปล่อยให้รถไหลไปเองโดยไม่ใช้การขับเคลื่อนจะทำให้ควบคุมรถยนต์ยาก โดยเฉพาะพวงมาลัยและเบรคเกียร์จะเข้ายากขึ้นอีกด้วย 
18. ลดเกียร์ไม่จำเป็นต้องไล่ตามลำดับ 
    การลดลงเกียร์ต่ำไม่จำเป็นต้องไล่ตามลำดับ เช่น จากเกียร์ห้ามาเกียร์สาม จากเกียร์สามมาเกียร์หนึ่ง เช่นนี้ จะทำให้เรามีเวลามองถนน และจับพวงมาลัยได้นานขึ้น 
19. ใกล้ทางแยกอย่าเปลี่ยนเลนกะทันหัน 
    ต้องตัดสินใจให้ดีว่าคุณกำลังจะไปทางไหน ซ้าย-ขวา หรือตรง อย่าตัดเลนซ้ายมาขวา หรือขวามาซ้าย บริเวณใกล้ทางแยกจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ถูกตำรวจจับแน่นอน 
20. จะไม่มีการชนท้ายรถคนอื่นเด็ดขาด 
    ไม่ขับชิดคันหน้าเกินไปหรือกะระยะการทำงานของเบรคได้ถูกต้อง 
21. สิ่งกีดขวางกลางถนน 
    บังเอิญสิ่งกีดขวางอยู่ในช่องจราจรของเรา ตามหลักเราต้องให้รถยนต์วิ่งสวนทางมาผ่านไปก่อน กรณีสิ่งกีดขวางอยู่ฝังตรงข้ามอย่าผลีผลามเหยียบคันเร่งเลยไป เพราะรถคันสวนทางเราอาจไมยอมหยุดรถและหลบสิ่งกีดขวางออกมาในเลนของเราหน้าตาเฉย 
22. สิ่งกีดขวางอยู่บนเนิน 
    นับว่าเป็นเรื่องท้าทายให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ การใช้เบรคจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาจัดการแก้ปัญหานี้ 
23. แซงรถที่กำลังวิ่ง 
    ต้องเข้าใจว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วหนึ่งหากเราคิดจะแซง แน่นอนว่าความเร็วของรถเราต้องมากกว่า เมื่อหักลบกับความเร็วคันหน้าก็จะได้ระยะทางที่ต้องใช้ในการแซง นั่นก็คือ แซงรถกำลังวิ่งครั้งหนึ่งต้องใช้เวลามากกว่าปกติ ทางที่ดีไม่แน่ใจอย่าแซงจะดีกว่า 
24. แซงระทางชัน 
    หากเป็นรถที่บรรทุกของหนักและวิ่งช้ากว่าเรา การแซงจะใช้เวลาสั้นลงอย่างมาก แต่พึงระวังรถสวนเลนตรงข้าม ซึ่งจะวิ่งลงทางลาดด้วยความเร็วสูง 
25. อย่าเร่งรถหากกำลังถูกแซง 
    จะเป็นการผิดมารยาทอย่างยิ่ง หากรถของคุณที่กำลังถูกแซงเร่งเครื่องหนีด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น เมื่อเห็นว่ารถคันขวาของคุณกำลังจะถูกแซง ต้องชะลอความเร็วรถของคุณ เพื่อให้รถของเขาแซงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว 
26. ขับรถขึ้นเขา 
    กรณีขับรถขึ้นเขาหรือเนิน แน่นอนว่ารถของคุณต้องใช้กำลังเพิ่มมากขึ้น การขับต้องเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำกว่าเดิมเพื่อรักษาความเร็วของรถ การเปลี่ยนเกียร์ต้องเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เพราะขณะที่เรายกเท้าออกจากคันเร่งแล้วเหยียบคลัตช์เปลี่ยนเกียร์ 
27. ขับรถลงทางลาด 
    ขึ้นเนินใช้เกียร์ต่ำเพื่อรักษาความเร็วของรถ ลงทางลาดก็ต้องใช้เกียร์ต่ำ เพื่อลดอัตราเร็วของรถแทนการใช้เบรค เพราะหากใช้เบรคในทางลาดมากไป จะทำให้เบรคลื่นและจับไม่อยู่เนื่องจากมีความร้อนสูง 
28. ออกตัวของรถขึ้นทางชัน 
    ผู้ขับขี่มือใหม่มักมีปัญหาการออกตัวขึ้นเนินแล้วรถเคลื่อนที่ถอยหลัง ต้องฝึกให้มีความสามารถในการใช้คันเร่งคลัตช์และเบรคมือพร้อมกัน โดยใช้เท้าซ้ายกดแป้นคลัตช์ลง โยกคันเกียร์จากเกียร์ว่างไปยังเกียร์หนึ่ง ใช้เท้าขวากดแป้นคันเร่ง โดยกดให้มากกว่าการออกตัวบนพื้นระดับ และต้องกดอย่างสม่ำเสมอตามปริมาณชองความชัน 
29. จดรถหันหน้าขึ้นเนิน 
    หลีกเลี่ยงได้ควรหลีก แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดให้ชิดขอบขวาทางด้านซ้ายมากที่สุด หมุนพวงมาลัยให้ล้อหันไปทางขวาป้องกันการเคลื่อนที่ถอยหลังเป็นเกียร์หนึ่งและใช้เบรคมือให้มั่นคง 
30. จอดรถหันหน้าลงเนิน 
    หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายให้ล้อหันเข้าหาขอบทางเท้า ป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่เดินหน้าใส่เกียร์ถอยหลังและเบรคมือไว้ 

รถแพงที่สุดในโลก





รถที่แพงที่สุดในโลก


นี่ คือสุดยอดเจ้าชายกบ เป็นรถที่ดีที่สุดและแพงที่สุดของ porsche ซุปเปอร์คาร์จากเยอรมันคันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 5.7 ลิตร V10 612 แรงม้า ใช้เวลาวิ่งจาก 0-100 km/hr เพียง 3.5 วินาทีเท่านั้น 
อันดับ 8: Mercedes-Benz SLR McLaren ราคา $450,000
นี่ คือรถที่แพงที่สุดของค่ายดาวสามแฉกจากเยอรมัน (อีกแล้ว) โดย mercedes ได้ร่วมกันพัฒนากับ mclaren ผลิตสุดยอดซุปเปอร์คาร์คันนี้ขึ้นมา SLR ใช้เครื่องยนต์ 5.4 ลิตร V8 ผลิตม้าได้ 626 ตัว ใช้เวลาเพียง 3.6 วินาทีในการเร่งจาก 0-100 km/hr
อันดับ 7: Koenigsegg CCX ราคา $520,000
การ เปิดประตูสุดแปลกแต่สวยงามของซุปเปอร์คาร์จากสวีเดนคันนี้ ทำให้หลายๆคนหลงรักทันทีที่เห็นมัน CCX มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4.7 ลิตร V8 และมีแรงม้ามากถึง 806 แรงม้าเลยทีเดียว เพียงแค่ 3.2 วินาทีคุณก็จะทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วจาก 0-100 km/hr ทันที 

การดูแลรถที่ดี


การดูแลรักษารถของท่านด้วยตนเอง


การดูแลรักษารถของท่านด้วยตนเอง
การดูแลรักษารถด้วยตนเองที่นำเสนอนี้ เป็นแนวทาง ทั่วๆไป ที่เน้นหนักไปที่รถ TOYOTA แต่สำหรับรถยี่ห้ออื่นก็สามารถ  นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งที่นำเสนอนี้ต่างไปจากหนังสือคู่มือรถ ก็ขอให้ยึดถือข้อมูลในหนังสือคู่มือเป็นหลัก
รายการที่ควรตรวจเช็ค 1. น้ำหล่อเย็น ควรตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็นให้อยู่ในระดับ Full อยู่เสมอ โดยตรวจเช็คในขณะที่ดับเครื่องและเครื่องเย็น ถ้าระดับน้ำลดลงเป็นปริมาณมากก็อาจ จะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพิจารณาหาสาเหตุ หรือนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจเช็คสาเหตุ (อย่าลืมเติมน้ำก่อนนำรถไป)
2. ระดับน้ำมันเครื่อง การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วดับเครื่องเช็คระดับน้ำมันเครื่องโดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง

     - เพื่อให้การตรวจเช็คถูกต้อง รถควรอยู่ในแนวระดับเครื่องยังร้อน และทำการวัดหลังจากดับเครื่อง 2-3 นาที          เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงด้านล่างก่อน
     - ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออก เช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้า
     - เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม
     - ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง " F " กับ " L "  แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ
  ข้อควรระวัง
    
- หลีกเลี่ยงการเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไป เพราะอาจ ทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
    - ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่ก้านวัดอีกครั้งหลังเติม น้ำมันเครื่องลงไป

3. ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น แบตเตอรี่ ให้อยู่ในตำแหน่ง UPPER/LEVEL และไม่ควรเติมเกิน กว่าระดับ UPPER/LEVEL เพราะถ้าเติม มากเกินไป น้ำยาอิเลคโทรไลท์ซึ่งเป็นสารละลายกรด ซัลฟูริค จะเจือจางทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นอกจากนี้ น้ำยาอิเลคโทรไลท์อาจจะกระเด็นออกทาง รูระบายไอ และไปกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์ได้

    ข้อควรระวัง
- ปิดฝาเติมน้ำกลั่นให้แน่น
- ขั้วแบตเตอรี่ที่ขั้วบวกและลบขันแน่น
- แบตเตอรี่ยึดแน่นกับฐานที่ตั้ง

 4. ระดับน้ำมันเบรก ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันเบรกมีคำว่า MAX และ MIN ระดับน้ำมันเบรกควร อยู่ที่ระดับ MAX อยู่เสมอ สาเหตุที่เป็นไปได้ ที่มีผลทำให้ปริมาณน้ำมันเบรกในกระปุกน้ำมันเบรก ลดลงต่ำลงมี 2 ข้อ คือ
   - มีการรั่วของน้ำมันเบรกออกจากระบบเบรก
   - การสึกหรอของผ้าเบรก ซึ่งระดับน้ำมันเบรกจะลดลงน้อย และช้ามาก ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเบรกถ้าพบว่าระดับน้ำมันเบรกในกระปุกน้ำมันเบรก ลดลงต่ำลงรวดเร็ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจ เช็คสาเหตุ
 5. ระดับน้ำมันคลัทช์ ควรตรวจเช็คด้วยสายตา สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันคลัทช์ จะมีคำว่า MAX กับ MIN ระดับน้ำมันคลัชท์  ควรอยู่ที่ระดับ MAX เสมอ ถ้าพบว่าระดับ น้ำมันคลัทช์ในกระปุกลดลงต่ำลง ควรนำรถเข้าศูนย์ บริการ เพื่อตรวจเช็คหาสาเหตุ
 6. ระดับน้ำมันเกียร์ AUTO ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ AUTO ออกเช็คน้ำมันเกียร์ ที่ติดก้านวัดด้วยผ้า แล้วเสียบก้านวัด น้ำมันเกียร์คืนกลับจุดเดิม ดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจระดับน้ำมันเกียร์ที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมัน เกียร์อยู่ที่ขีด F พอดี แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ปกติ
 7. ตรวจเช็คระดับน้ำมัน POWER ควรตรวจเช็คขณะที่เครื่องยนต์ติดอยู่ โดยการหมุนฝาปิดกระปุกน้ำมันPOWER จะติด อยู่กับฝากระปุกน้ำมัน POWER ที่ก้าน วัดจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน ถ้าวัดตอนที่ เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ให้ดูด้าน COLD ถ้าวัดตอนเครื่อง ร้อนให้ดูด้าน HOT ถ้าเป็นรุ่นใหม่ให้ดูที่กระปุกน้ำมัน POWER จะเป็นพลาสติกใส ที่กระปุกจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน และมีขีดระดับ MAX กับ MIN อยู่ด้วยระดับน้ำมัน POWER ควรอยู่ระดับ MAX เสมอ ถ้าดูตอนเครื่องยนต์เย็นให้ดูด้าน COLD และถ้าดูตอน เครื่องยนต์ร้อนให้ดูด้าน HOT
 8. ตรวจเช็คสภาพของสายพาน โดยวิธีการมองดูที่สายพานถ้าพบรอยแตกเกิดขึ้น ควรทำการเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะใช้รถได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ก็ควรตรวจดูความตึง ของสายพานด้วย โดยการใช้นิ้วกดลงบนสายพานตรงกลาง ระหว่างมู่เล่สองข้าง ถ้าสามารถกดลงได้เล็กน้อย ประมาณ 10 มม. ก็น่าจะพอใช้ได้ (ถ้าไม่แน่ใจควรให้ช่างตรวจสอบ เพราะการตรวจด้วยวิธีดังกล่าว ผู้ตรวจต้องมีความชำนาญ พอสมควร)
 9. ตรวจเช็คสภาพภายในห้องเครื่อง โดยวิธีการมองดูรอบๆภายในห้องเครื่อง ให้สังเกตดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ท่อยางหม้อน้ำมีคราบน้ำซึมหรือไม่ สายไฟภายใน ห้องเครื่องเรียบร้อยดีหรือไม่ มีหนูขึ้นมากัดหรือไม่ มีคราบ น้ำมันเครื่องรั่วซึมหรือไม่ เป็นต้น
 10. ตรวจเช็คระบบไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่างๆ เปิดไฟทั้งหมดดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไหนไม่ติด หรือไม่ ถ้าพบว่ามีไฟหลอดไหนไม่ติดควรเปลี่ยน ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อ ตรวจเช็ค
 11. ตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝนเมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ก็อาจมีการเสื่อมสภาพ ซึ่งเนื่องมาจากสาเหตุเหล่านี้
  - ผิวสัมผัสส่วนปลายมีการสึกหรอ จากการทำงานปกติของ ใบปัด
  - มีสิ่งสกปรก และหินทรายละเอียดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจกทำให้ยางปัดน้ำฝนสึกหรอ
  - เมื่อใบปัดน้ำฝนผ่านการใช้งานนานๆ ยางใบปัดน้ำฝน จะแข็งตัว การยืดหยุ่นจะลดลง และความบกพร่องในการ ปัดจะเกิดขึ้น เนื่องจากหน้าสัมผัสระหว่างยางใบปัดกับ กระจกไม่ดี รวมทั้งอาจเกิดจากใบปัดน้ำฝนเกิดอาการ สั่นเต้น หรืออาการอื่นๆ ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนใหม่
 12. ตรวจเช็คยาง ควรเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอๆ โดยใช้ ความดันลมยางตามที่ผู้ผลิตกำหนด และควรเช็คขณะที่รถ ยังไม่ได้ใช้งาน(ยางยังไม่ร้อน) ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ควรนำไปตรวจสอบว่า มีตะปูตำหรือไม่ ดูสภาพยางด้วยตา ดูที่ผิวยางมีรอยแตกเล็กๆ หรือไม่ ดูการสึกหรอของดอกยาง กล่าวคือ ดอกยางสึกมากไปหรือยัง หรือมีการสึกหรอผิด ปกติ เช่น ลึกเฉพาะตรงกลางหน้ายาง (เติมลมมากเกินไป) สึกเฉพาะขอบยางทั้ง 2 ข้าง (ลมยางอ่อนเกินไป) หรือสึก ด้านใดด้านหนึ่ง ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้ ควรปรึกษาช่าง เพราะ ควรจะมีการตรวจเช็คช่วงล่าง และศูนย์ล้อ เอาเล็บมือกดดู ที่เนื้อยางว่า นิ่ม หรือ แข็ง ถ้ายางหมดสภาพ เนื้อยางจะกดไม่ลงจะแข็งมาก


 การบำรุงรักษารถด้วยตนเองที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ควรทำบ่อยแค่ไหน ?คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับรถของท่านว่า ใหม่หรือเก่า มีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าเป็นรถใหม่ๆ ทำอาทิตย์ละครั้งก็มากพอแล้ว แต่ถ้าเป็นรถเก่าสภาพไม่ดีนักก็อาจต้องทำทุกวัน
 คำแนะนำ
       ข้อควรระวังในการบำรุงรักษารถด้วยตัวของท่านเองถ้าท่านทำการบำรุงรักษารถด้วยตัวท่านเอง, ก่อนอื่นต้อง แน่ใจว่า ได้ปฏิบัติตามข้อควรระวังที่ให้ไว้ในส่วนนี้ อย่างถูกต้องไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คำแนะนำในส่วนนี้ใช้เฉพาะในการบำรุงรักษารถ เฉพาะส่วนที่บำรุงรักษาง่ายๆการทำงานใดๆ เกี่ยวกับรถยนต์ของท่านควรจะใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นตาม คำแนะนำ หรือคำเตือนดังต่อไปนี้
 คำเตือน :     - ขณะเครื่องยนต์กำลังทำงาน ระวังอย่าให้มือ, เสื้อผ้าและ เครื่องมือต่างๆเข้าใกล้ใบพัด และสายพานขับเครื่องยนต์ (ควรถอดแหวน, นาฬิกา และเนคไท ออกก่อนทำการ ตรวจซ่อม)
    - หลังจากใช้รถให้ระวังอย่าสัมผัสกับเครื่องยนต์, หม้อน้ำและท่อไอเสีย เนื่องจากความร้อนของสิ่งเหล่านี้
    - อย่าสูบบุหรี่ ใกล้น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากไอน้ำมันเชื้อ - เพลิงจะไวไฟมาก
    - ให้ระมัดระวังอันตรายจากน้ำกรด และไอน้ำกรดจากแบตเตอรี่ เมื่อทำงานอยู่กับแบตเตอรี่
    - อย่าเข้าใต้ท้องรถโดยมีเพียงแม่แรงรองรับเท่านั้น ควรใช้ขาตั้งรองรับเสียก่อน
    - ใช้อุปกรณ์ป้องกันตาขณะทำงานในที่ที่อาจมีของตก มีการพ่นหรือละอองของเหลวกระเด็นออกมาไม่ว่าจะอยู่บนหรือใต้รถก็ตาม
   - ควรระมัดระวังเมื่อมีการเติมน้ำมันเบรก เนื่องจากน้ำมันเบรกเป็นอันตรายต่อตาของท่าน และทำลายสีรถได้ ถ้า น้ำมันเบรกกระเด็นเข้าตาหรือโดนสีรถให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาดโดยทันที
  ข้อควรระวัง :      - จำไว้ว่าสายจากแบตเตอรี่และสายไฟจุดระเบิด มีกระแส หรือแรงดันไฟสูงมาก จะต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดการลัดวงจร
     - ก่อนปิดกระโปรงหน้า ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ลืมเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้
     - ถ้าท่านทำน้ำมันต่างๆ หกรดโดนชิ้นส่วนต่างๆ ให้รีบล้างออกโดยน้ำสะอาดเพื่อป้องกันชิ้นส่วน หรือสีเสียหาย
     - อย่าเติมน้ำมันเกียร์อัตโนมัติมากเกิน มิฉะนั้นระบบเกียร์อาจเสียหายได้
     - อย่าเติมน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์มากเกิน มิฉะนั้นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์อาจจะเสียหายได้
 

รถงามที่สุดในโลก

สวยมาก



แรงด้วย



งาม


สวย